วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

การทำศัลยกรรม












   ใบหน้าของคนเป็นองค์ประกอบของร่าง กายมนุษย์ที่อาจจัดได้ว่าสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เป็นส่วนที่จะทำให้คุณมีความภาคภูมิใจ ในบางคนการประสบความสำเร็จในชีวิตมาจากการมีหน้าตาและรูปร่างที่ดูดี แม้แต่ในดาราฮอลลีวูดจำนวนมากก็ต้องเข้าทำการตกแต่ง เพิ่มเติมส่วนเหลือ ส่วนขาด หรือ ตัดแต่งส่วนที่เกินออกไป ในบางคนหน้าตาอาจทำให้ขาดความมั่นใจจนมิอาจนำความสำเร็จในชีวิตมาได้
ในอดีต การทำศัลยกรรมตกแต่งอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ซับซ้อน ใช้เวลานาน อีกทั้งผลที่ได้อาจไม่ดีนักแต่ปัจจุบันเมื่อวิทยาการทางการแพทย์เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วการค้นคิดวัสดุที่ดี เครื่องมือที่ดี เทคนิคที่ดี ทำให้การทำศัลยกรรมไม่ได้น่ากลัวเหมือนในอดีต ระยะเวลาของการทำระยะเวลาของการดูแลรักษาตัวก็สั้นลง ทำให้การทำศัลยกรรมตกแต่งเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นและเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ศัลยกรรมบนใบหน้ายังคงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประสาน สอดคล้องและลงตัวจึงจะทำให้ได้ใบหน้าที่กลมกลืน ได้สัดส่วนที่เหมาะสม แลดูสวยงามและมีความเป็นธรรมชาติ อาจกล่าวได้ว่า ศัลยกรรมบนใบหน้า คือ"art under surgical knife"ความสวยสมบูรณ์จึงขึ้นกับศัลยแพทย์ด้วยว่าจะประสานความเป็นศิลป์ลงไปในงานได้อย่างไร






     Rhinoplasty เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมจมูก ที่สามารถทำได้ทั้งเพื่อสาเหตุด้านความงามหรือด้านสุขภาพ โดยการศัลยกรรมจมูกนี้หมายรวมถึงทุกกระบวนการ ตั้งแต่การปรับขนาดของจมูก (ปรับขนาดเพื่อให้รับกับสัดส่วนของใบหน้า) ปรับขนาดปีกจมูก รูปทรงของปลายจมูก ปรับให้จมูกสองข้างสมมาตรกัน หรือการทำเพื่อเหตุผลทางด้านสุขภาพ อย่างการปรับแต่งกระดูกอ่อนที่กั้นโพรงจมูกให้ตรง (ในรายที่มีอาการคดเบี้ยว) หรือปรับตำแหน่งโพรงจมูก เพื่อช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาในการหายใจ หายใจได้สะดวกขึ้น หรือช่วยในรายที่ประสบอุบัติเหตุอย่างอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือระหว่างการเล่นกีฬาจนทำให้จมูกเสียรูปร่างไปก็ได้





       การศัลยกรรมจมูกแบบเปิด หรือ Open Rhinoplasty

          การศัลยกรรมจมูกแบบเปิด นับเป็นการผ่าตัดใหญ่ของจมูก ทำโดยการกรีดผ่าจมูกออกในแนวดิ่ง อันจะเปิดให้เห็นแกนจมูก จากนั้นจึงทำการแยกเนื้อและผิวหนังออกจากโครงสร้างจมูก เพื่อที่แพทย์จะได้เห็นโครงสร้างหรือกายวิภาค (anatomy) ของจมูกได้อย่างชัดเจน และลงมือผ่าตัดต่อไป 

       
การศัลยกรรมจมูกแบบปิด หรือ Closed Rhinoplasty

          การศัลยกรรมจมูกแบบปิด เป็นการผ่าตัดที่เกิดขึ้นภายในจมูก ผิวหนังจะถูกกรีดเป็นแผลพอประมาณ และจะถูกทำให้แยกออกจากกระดูก และกระดูกอ่อนซึ่งสามารถนำออกมาภายนอกได้ จากนั้นก็จะทำการจัดรูปร่างใหม่ ไม่ว่าจะเสริมหรือตัดแต่ง เพื่อให้ตรงกับแบบที่ต้องการ

       
การศัลยกรรมจมูกซ้ำสอง หรือ Secondary Rhinoplasty หรือ Revision Rhinoplasty

          การศัลยกรรมจมูกซ้ำสอง คือกระบวนการผ่าตัดซ้ำอีกครั้งหลังจากที่ได้ทำการผ่าตัดครั้งแรกไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาที่การผ่าตัดครั้งที่หนึ่งไม่สามารถแก้ไขได้หมด โดยกระบวนการผ่าตัดศัลยกรรมซ้ำครั้งที่สองนี้จะเป็นการศัลยกรรมแบบเปิดหรือปิดก็ได้

       
การฉีดฟิลเลอร์ หรือ Filler Rhinoplasty

          เพื่อการปรับแต่งส่วนที่เป็นหลุมหรือส่วนที่เว้าไม่ได้รูปของจมูก แทนที่แพทย์จะทำการผ่าตัดก็อาจใช้วิธีการฉีดฟิลเลอร์แทนได้ ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อเติมให้จมูกดูเรียบเต็มแล้ว ยังใช้เพื่อเติมส่วนปลายจมูกให้ได้รูปทรง คืนความสมมาตรให้จูกทั้งสองข้าง หรือทำให้จมูกดูเล็กลง ดูน่ามองมากขึ้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามผลของการฉีดฟิลเลอร์นั้นไม่คงอยู่ได้ถาวร 

ศัลยกรรม

การทำขาเรียว
การมีน่องที่เรียวสวยนั้นไมjใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยเฉพาะปัญหาน่องโตที่เกิดจากกล้ามเนื้อ ด้วยเทคนิคการฉีดปรับรูปน่องล่าสุด “Calf Reshaping” สามารถให้ผลการรักษาที่ดีขึ้นเกือบ 100% โดยไม่ต้องเสี่ยงกับการผ่าตัดใดๆ ซึ่งสารดังกล่าวคือสารชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในการฉีดลบริ้วรอย หรือ ปรับรูปหน้า (Dysport, Botox) ที่มีการใช้อย่างปลอดภัยในวงการแพทย์ทั่วโลกมานานกว่า 20 ปี

ใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติทันที จะสังเกตุเห็นน่องที่เรียวสวยขึ้นได้อย่างชัดเจนและเป็นธรรมชาติภายใน 1-3 เดือน โดยเห็นผลเต็มที่ประมาณ 6-9 เดือนหลังการฉีดครั้งแรก และสามารถคงอยู่ได้นานหลายปี หลังการฉีดซ้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล



ข้อแนะนำเพิ่มเติม 
ในบางกรณีที่แพทย์ผู้รักษาเห็นว่า คนไข้มีปัญหาไขมันสะสมร่วมด้วย การฉีดสารคลายกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียวอาจให้ผลการรักษาได้ไม่เต็มที่ แพทย์จะแนะนำให้ทำการสลายไขมันก่อนด้วยวิธี Vaser Lipo Selection แล้วจึงค่อยฉีดสารคลายกล้ามเนื้อ วิธีการนี้ให้ผลการรักษาที่ชัดเจน สามารถปรับรูปน่องให้เรียวสวยได้ดังใจอย่างแท้จริง
…เพียงแค่นี้ การมีน่องที่เรียวสวยก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

Vaser Lipo Selection คืออะไร ต่างจากการดูดไขมันอย่างไร?
VASER (Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance) คือเทคโนโลยีล่าสุดที่สามารถสลายไขมัน ได้มากเท่าการดูดไขมัน แต่นุ่มนวลและผลข้างเคียงน้อยกว่าการดูดไขมันมาก เป็นเทคโนโลยี ultrasound ขั้นสูง สามารถเลือกทำลายเป้าหมายคือไขมัน อย่างจำเพาะเจาะจง (LipoSelection) โดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น เส้นประสาท เส้นเลือด และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น
นอกจากนั้น VASER ยังช่วยให้ผิวกระชับและฟื้นตัวเร็ว ทำให้ได้ผลการสลายไขมันที่ดีที่สุดขณะที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ไม่มีปัญหาเรื่องผิวขรุขระหรือเป็นโพรงเหมือนการดูดไขมันในอดีต
 



การทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก

การผ่าตัดเสิรมหน้าอกนับได้ว่าเป็นหนึ่งในการทำศัลยกรรมความงาม ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับคุณผู้หญิงที่ตัวเล็กหรือมีรูปร่างผอม ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจมีขนาดของหน้าอกค่อนข้างเล็ก และสร้างความไม่มั่นใจให้ตัวเองเวลาสวมใส่เสื้อผ้า หรือคุณแม่ที่เคยให้นมบุตร ก็อาจจะเจอปัญหาหน้าอกหย่อนยาน ดังนั้นการเสริมหน้าอก จึงเป็นคำตอบ ของการสร้างความมั่นใจสำหรับคุณผู้หญิงกลับคืนมาได้อย่างแท้จริง




การเสริมหน้าอก มักจะคำนึงถึงข้อมูลหลักๆ 4 ข้อ คือ

ตำแหน่งที่ใส่ซิลิโคนสำหรับการเสริมหน้าอก1) แผลที่ทำการผ่าตัด (Site of Axillary)
ใต้ฐานนม (Inframamary Fold), รอบปานนม (Periareolar)และที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ บริเวณรักแร้ (Axillary)
2) ตำแหน่งของชั้นเนื้อเยื่อที่วางเต้านมเทียม (Intercalated Layer)
ชั้นใต้เนื้อนม (Subglandular Layer), ชั้นใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular Layer) และสุดท้ายคือ ชั้นร่วมกันระหว่างใต้เนื้อนมและกล้ามเนื้อ (Dual Layer)

3) ลักษณะของถุงเต้านมเทียม (Prosthetic Implant)
ถ้าแบ่งตาม Material ที่อยู่ภายในถุงจะแบ่งเป็น น้ำเกลือ (Saline) และ Silicone ชนิดเหนียวพิเศษ (Cohesive Silicone Gel) หรือ ถ้าแบ่งตามลักษณะของผิวถุงจะแบ่งเป็นแบบ ผิวเรียบ (Smooth) และ ผิวเนื้อทราย (Texture)
4) ขนาดของถุงเต้านมเทียม (Size)
ขนาดของเต้านมเทียม แม้ว่าจะขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ก็ตาม แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเลือกขนาดที่เหมาะสมและได้รูป

การทำตาสองชั้น

 การทำตา 2 ชั้นในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อประมาณสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสมัยนั้นการแพทย์ไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการแพทย์แผนปัจจุบัน (Modern Medicine) จึงมีแพทย์ที่ให้การบริการด้านศัลยกรรมความงามน้อยมาก

         ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2500 แพทย์ไทยแผนปัจจุบันหลายท่านกลับจากการศึกษาจากประเทศยุโรปได้เริ่มให้บริการทำตา 2 ชั้นในโรงพยาบาลใหญ่ๆ เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลภูมิพล,โรงพยาบาลจุฬาฯ และเริ่มแพร่หลายไปสู่สถานพยาบาลต่างๆ มากมายหลากหลายกรรมวิธี ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดดังต่อไปนี้

          วิธีที่ 1 เป็น "วิธีเย็บ" (SUTURE) โดยใช้ไหมเส้นโตขนาดใหญ่ประมาณเบอร์ 3 ศูนย์ (ซึ่งปกติใช้เย็บในไก่ตัวผู้เพื่อทำไก่ตอน) โดยมีลูกปัด (PLASTIC BEAD) เย็บผูกรัด ตรึงไว้ 7 วัน เพื่อกดให้เกิดเป็นตา 2 ชั้น แล้วจึงตัดไหมออกจำเป็นต้องหยุดงานพักอยู่ที่บ้าน 1 สัปดาห์ วิธีนี้ทำกันมานานกว่า 30-40 ปี โดยแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นมานานแล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้เกิดตา 2 ชั้นคงทนอยู่เพียงชั่วคราว 1-3 ปี ชั้นก็จะหลุดหมดในภายหลัง

         วิธีที่ 2 เป็น "วิธีตัดและเย็บ" (EXCISION  AND SUTURE) โดยการกรีดหนังตาบนแล้วตัดหนังออกเป็นแผ่นแถบยาวๆ หลังจากนั้นจึงทำการเย็บหนังตาให้ติดกับเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อตา (LEVATOR PALPEBRAE MUSCLE FASCIA) โดยเย็บข้างละ 10-20 เข็ม และตัดไหมเมื่อครบ 5-7 วัน วิธีนี้แพร่หลายในยุโรป และสหรัฐอเมริกา แต่มีข้อเสียคือ แผลเป็นยาวมากและบวมช้ำมาก จึงไม่เหมาะกับคนไทยหรือคนเอเชีย อีกประการหนึ่ง หากทำวิธีนี้ถ้าตัดหนังมากเกินไปเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ตาแหก ตาปลิ้นโดยง่าย หรือกลางคืนนอนหลับ แต่เปลือกตาปิดไม่สนิท อีกทั้งมีแผลเป็นยาวตั้งแต่หัวตาถึงหางตา ซึ่งจะติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่สามารถลบรอยแผลเป็นนี้ได้
         
วิธีที่ 3 เป็นวิธี "กรีด" หนังตาบน (INCISIONAL METHOD) ให้เป็นแผลยาว โดยไม่ได้ตัดหนังออกแล้วจึงเย็บข้างละ 10-20 เข็ม แล้วแต่ขนาดของแผล ผลลัพธ์ของวิธีนี้ก็เหมือนกับวิธีที่ 2 เพียงแต่ว่าหลับตาได้สนิทเมื่อนอนหลับ

         วิธีที่ 4 วิธี "เจาะและกำจัดไขมัน" (SHORT INCISION TECHNIC AND FAT REMOVAL) วิธีนี้เหมาะสำหรับคนไทยหรือคนเอเชีย เพราะมีดวงตาขนาดเล็กและไขมันมาก มีกรรมวิธีโดยเจาะหนังตาบนยาว 4-5  มิลลิเมตร เพื่อเอาไขมันออก แล้วล็อก (LOCK) หนังตาบนกับกล้ามเนื้อและพับ (FOLDING  TECHNIC) ทำให้เกิดเป็นตา 2 ชั้น วิธีนี้จะเย็บ 3-5 เข็มเท่านั้น แผลขนาดเล็กสามารถไปทำงานได้ภายใน 2-3 วัน มีการบวมช้ำน้อย หลับตาได้สนิทมีแผลเป็นน้อยมาก

          วิธีที่ 5 วิธีการเจาะร่วมกับการใช้ไมโครสโคป (VERY SHORT INCISION TECHNIC WITH MICROSCOPE) กล่าวคือ วิธีนี้เหมาะสำหรับคนอายุน้อย (20-40 ปี) โดยการเจาะเปลือกตาเป็นแผลเล็กๆ ขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร แล้วพับหนังตาบนให้เป็นชั้น (FOLDING  TECHNIC) โดยใช้ MICROSCOPE มาทำร่วมในการผ่าตัด ซึ่งกล้อง MICROSCOPE ดังกล่าวนี้นั้น หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือกล้องเจียระไนเพชรนั่นเอง จึงทำให้แผลสนิทเนียนไร้ร่องรอย ไม่บวมช้ำ และสามารถไปทำงานได้ใน 24-48 ชม. และแต่งหน้าทาแป้งเขียนอายแชโดว์ (MAKE UP) ได้ทันที จึงเหมาะสำหรับดารา นักแสดง นักธุรกิจ แอร์โอสเตส ซึ่งสามารถไปทำงานได้ภายในวันรุ่งขึ้นหรือ 24-48  ชม. บางรายไม่ต้องตัดไหม ซึ่งจะหลุดออกไปเอง หรือบางรายอาจไม่ต้องเย็บก็ได้


         สำหรับท่านที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์หรือนรลักษณ์ศาสตร์ (โหงวเฮ้ง) เกี่ยวกับดวงตานั้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ทำให้เกิดตา 2 ชั้น ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ กล่าวคือ ไม่มีรายแผลเป็นหลงเหลือที่เปลือกตาบนเมื่อหลับตา ซึ่งดีกว่าวิธีต่างๆ ข้างต้น โดยเฉพาะท่านที่มีอายุประมาณ 30 ปี (การมีแผลเป็นที่ดวงตาเป็นลักษณะต้องห้ามของนรลักษณ์ศาสตร์)




   







 

ผลเสียของการทำศัลยกรรม

ผลดีของการทำศัลยกรรม






สรุป
การทำศัลยกรรมในปัจจุบันนี้มีทั้งผลดีและผลเสีย

ในปัจจุบันนี้เกือบจะเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าถ้าหากจะให้การรักษาเป็นไป อย่างถูกต้องครบถ้วนเป็นมาตรฐานที่สุดแล้วควรที่จะให้ผู้ป่วยสามารถรับการ รักษาในสถานที่แห่งเดียวทั้งนี้เนื่องจากว่าผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการการรักษา ที่เป็นขั้นตอน และมีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่เราเคยรู้กันในอดีต ทั้งนี้ก่อนอื่นมีความจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อนว่าผู้ป่วยที่มารักษา นั้นเป็นผู้ป่วยกลุ่มนี้หรือไม่ และการผ่าตัดจะสามารถทำได้หรือไม่นั้น จะมีขั้นตอนพิจารณาดังนี้

    1.ผู้ป่วยต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมในเพศที่ตรงข้ามกับร่างกายตลอดเวลา และประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน
    2.ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจและประเมินพฤติกรรมโดยจิตแพทย์อย่างน้อย 2 คน และหนึ่งในสองคนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ
    3.ต้องได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้อยู่ในเพศตรงข้ามเสียก่อน
    4.ก่อนจะผ่าตัดแปลงเพศต้องผ่าตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างอวัยวะเพศเสียก่อน

ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึง ทีมงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเหล่านี้แล้ว จะพบว่า ทีมแพทย์ที่เหมาะสมจะต้องประกอบด้วยจิตแพทย์, นักจิตวิทยา, แพทย์ทางระบบต่อมไร้ท่อ หรือแพทย์ที่ดูแลเรื่องการใช้ฮอร์โมน, แพทย์ทางสูตินรีเวช, แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้เพื่อทำให้การรักษาได้ผลอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการผ่าตัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ เท่านั้น ผู้ป่วยยังต้องได้รับ Hormone เพื่อรักษาสภาพภายในที่จะคงสภาพของเพศตรงข้ามอย่างถาวรตลอดไป รวมทั้งสภาพจิตใจของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดนั้นก็เป็นสิ่งที่จะต้องได้รับคำ ปรึกษาหากมีปัญหาเกิดในระยะยาว ปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าด้านการผ่าตัดมีมากแต่ความรู้ความเข้าใจในด้านการ รักษาด้วยฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีน้อย จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่ายาฮอร์โมนกลุ่มใดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่ต้อง การเปลี่ยนไปในเพศตรงข้าม และผลในระยะยาวต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไรมีอันตรายมากน้อยเพียงใดยัง ไม่สามารถที่จะสรุปได้แน่นอน จึงต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์จึงจะปลอดภัยที่สุด